วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การบริโภกอาหารให้ถูกหลักอนามัย

การกินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ นอกจากต้องกินอาหารให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน ทั้งชนิดและปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกายแล้ว ยังควรคำนึงถึง ความปลอดภัยจากการบริโภคอาหารด้วย เพราะอาหารก็อาจเป็นพาหะหรือตัวนำอันตรายที่เรามองไม่เห็นเข้าสู่ร่างกาย พิษภัยที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงแค่คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย แล้วก็หายไปในระยะเวลาสั้น ๆ 1 - 3 วัน แต่ในบางกรณีอาจมีอาการรุนแรงและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หรืออาจเกิดการสะสมของสารพิษแล้วทำให้เกิดได้เช่นกัน เป็นที่ทราบกันดีว่า การเจ็บป่วยของคนเราแต่ละครั้งมีผลกระทบต่อร่างกายและเศรษญฐกิจทั้งของรัฐและผู้ป่วย รัฐต้องสร้างโรงพยาบาล ผลิตแพทย์ เภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อรองรับการเจ็บป่วย ผู้ป่วยก็ต้องรับภาระค่ารักษาพยาบาล สิ้นเปลืองทั้งเวลาและเงิน
            โดยที่โรคอันเกี่ยวเนื่องกับระบบทางเดินอาหารจากอาหารเป็นพิษนั้น เราสามารถป้องกันได้เพราะสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการกินอาหาร เครื่องดื่ม และน้ำที่มีการปนเปื้อน
ของเชื้อโรคหรือสารที่เป็นอันตราย ดังนั้นถ้าทุกคนรู้จักเลือกกินอาหารอย่างถูกสุขลักษณะเป็นประจำ ก็จะเป็นการดูแลตนเองให้ปลอดภัยได้ทางหนึ่ง
ปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการกินอาหารของคนไทยเกิดจากสาเหตุหลายประการ ซึ่งจะแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ต่อไปนี้

1. การเกิดอาหารเป็นพิษเนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์
2. การเกิดสารประกอบที่เป็นอันตรายจากการผลิตหรือปรุงอาหาร
3. การใช้วัตถุเจือปนอาหารผิดวัตถุประสงค์ หรือปริมาณไม่เหมาะสม

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของอาหารที่ดีต่อร่างกาย

อาหารหลัก 5 หมู่ หากกินครบถ้วนจะดีต่อสุขภาพและร่างกาย ถือเป็นยารักษาโรคขนานเอก แต่ก็ยังมีอาหาร จำพวกผัก ผลไม้ ที่ควรใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน...
* ถั่วเหลือง เมนูนี้อาจฟังดูไม่ค่อยน่าอร่อยนัก แต่คุณก็ไม่อาจปฎิเสธได้ถึงประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายของมัน ถั่วเหลืองอุดมด้วย ไอโวฟลาโวนส์ ที่ช่วยปกป้องต่อมลูกหมากของผู้ชาย หากมี ไอโวฟลาโวนส์ในเลือดระดับที่เหมาะสม จะลดโอกาสเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากลงได้อย่างมาก การบริโภคโปรตีนจากถั่วยังเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการช่วยลดไขมันไม่ดีในร่างกายอีกด้วย




* ผักสีส้มและสีแดง การกินผักสีส้มและสีแดง (เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ มะเขือเทศ ฯลฯ) ในปริมาณที่มากพอ ก็มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย ทำให้เซลล์ผิวหนังสุขภาพดี และอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี โพแทสเซียม และเบต้าแคโรทีน ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการต่อมลูกหมากโตด้วย แน่นอนการเน้นกินผักสีส้มและสีแดงไม่ได้หมายความว่าควรละเลยผักสีเขียวทั้งหลาย เพือ่ให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนจริงๆ ควรทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน

* เชอร์รี่และเบอร์รี่ หากอยากอร่อย ลองเลือกผลไม้รสอร่อยที่ดีต่อสุขภาพอย่างผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่ เพราะมีแอนตี้ออกซิแดนต์และฟลาโวนอยด์ในระดับสูง ซึ่งช่วยการทำงานของสมองให้เฉียบคม

* ไขมันปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 สำคัญอย่างมากในการทำให้ร่างกายคุณทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ ปลาที่อุดมด้วยไขมัน เช่น แซลมอน ทูน่า แม็กเคเรล และซาร์ดีน มีคุณสมบัติสูงในการต่อต้านอาการอักเสบ ช่วยในการลดอาการเจ็บปวดต่างๆ ของร่างกาย (รวมทั้งข้อต่อ) ผ่อนคลายโรคไขข้ออักเสบ และลดระดับไขมันในเลือด ปลาที่มีไขมันสูงยังมีวิตามินดี ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าช่วยป้องกันมะเร็ง เบาหวานประเภทสองโรคกระดูก และความดันโลหิตสูง โดยควรกินปลาที่มีไขมันสูงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง

        

ประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย

ประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย
อาหารหลัก 5 หมู่ หากกินครบถ้วนจะดีต่อสุขภาพและร่างกาย ถือเป็นยารักษาโรคขนานเอก แต่ก็ยังมีอาหาร จำพวกผัก ผลไม้ ที่ควรใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน...
* ถั่วเหลือง เมนูนี้อาจฟังดูไม่ค่อยน่าอร่อยนัก แต่คุณก็ไม่อาจปฎิเสธได้ถึงประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายของมัน ถั่วเหลืองอุดมด้วย ไอโวฟลาโวนส์ ที่ช่วยปกป้องต่อมลูกหมากของผู้ชาย หากมี ไอโวฟลาโวนส์ในเลือดระดับที่เหมาะสม จะลดโอกาสเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากลงได้อย่างมาก การบริโภคโปรตีนจากถั่วยังเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการช่วยลดไขมันไม่ดีในร่างกายอีกด้วย

* ผักสีส้มและสีแดง การกินผักสีส้มและสีแดง (เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ มะเขือเทศ ฯลฯ) ในปริมาณที่มากพอ ก็มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย ทำให้เซลล์ผิวหนังสุขภาพดี และอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี โพแทสเซียม และเบต้าแคโรทีน ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการต่อมลูกหมากโตด้วย แน่นอนการเน้นกินผักสีส้มและสีแดงไม่ได้หมายความว่าควรละเลยผักสีเขียวทั้งหลาย เพือ่ให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนจริงๆ ควรทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน

* เชอร์รี่และเบอร์รี่ หากอยากอร่อย ลองเลือกผลไม้รสอร่อยที่ดีต่อสุขภาพอย่างผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่ เพราะมีแอนตี้ออกซิแดนต์และฟลาโวนอยด์ในระดับสูง ซึ่งช่วยการทำงานของสมองให้เฉียบคม

* ไขมันปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 สำคัญอย่างมากในการทำให้ร่างกายคุณทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ ปลาที่อุดมด้วยไขมัน เช่น แซลมอน ทูน่า แม็กเคเรล และซาร์ดีน มีคุณสมบัติสูงในการต่อต้านอาการอักเสบ ช่วยในการลดอาการเจ็บปวดต่างๆ ของร่างกาย (รวมทั้งข้อต่อ) ผ่อนคลายโรคไขข้ออักเสบ และลดระดับไขมันในเลือด ปลาที่มีไขมันสูงยังมีวิตามินดี ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าช่วยป้องกันมะเร็ง เบาหวานประเภทสองโรคกระดูก และความดันโลหิตสูง โดยควรกินปลาที่มีไขมันสูงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง

ประวัติคอมพิวเตอร์

- แรกเริ่มมนุษย์ดำเนินชีวิตโดยไม่มีการบันทึกสิ่งใด มาจนกระทั่งได้มีการติดต่อค้าขายของพ่อค้าชาวแบบีลอน(Babylonian) การจดบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงบน clay tabletsจึงได้ถือกำเนิดขึ้น และอุปกรณ์ที่ช่วยในการคำนวนระหว่างการติดต่อซื้อขายก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน อุปกรณ์คำนวณในยุคแรกได้แก่ ลูกคิด(abacus)ซึ่งก็ยังคงใช้กันต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน
clay tablets (แผ่นดินเหนียว)
ลูกคิด (abacus)
- ประวัติคอมพิวเตอร์ ดำเนินมาถึง ปี พ.ศ. 2185 นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Blaise Pascal (แบลส ปาสกาล) ได้สร้างเครื่องกลสำหรับการคำนวณชื่อ pascaline
Blaise Pascal
เครื่องกลสำหรับการคำนวณชื่อ pascaline
- ต่อมาในปี พ.ศ. 2215 เครื่องกล pascaline ของ Blaise Pasca ได้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมโดย Gottfried Von Leibniz นักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันโดยเพิ่มสามารถในการ บวก ลบ คูณ หาร และถอดรากได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าเครื่อง pascaline ที่ถูกพัฒนาเพิ่มเติมเครื่องนี้มีความสามารถในการคำนวนแม่นยำเพียงใด

Gottfried Von Leibniz


- ปี พ.ศ. 2336 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ Charles Babbage ได้สร้างจักรกลที่มีชื่อว่า difference engine ที่มีฟังก์ชันทางตรีโกณมิติต่างๆ โดยอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์ และและต่อมาก็ได้สร้าง analytical engine ที่มีหลักคล้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปในปัจจุบัน จากผลงานดังกล่าว Charles Babbage ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์และเป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน



Charles Babbage




difference engine




analytical engine


- ปี พ.ศ. 2439 Herman Hollerith ได้คิดบัตรเจาะรูและเครื่องอ่านบัตร



Herman Hollerith




บัตรเจาะรู


- จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2480 Howard Aiken สร้างเครื่องกล automatic calculating machine ขึ้น จุดประสงค์ของเครื่องกลชิ้นนี้ก็คือ เพื่อเชื่อมโยงเทคโนโลยีทั้งทาง electrical และ mechanical เข้ากับบัตรเจาะรูของ Hollerith และด้วยความช่วยเหลือของนักศึกษาปริญญาและวิศวกรรมของ IBM ทีมงานของ Howard ก็ประดิษฐ automatic calculating machine สำเร็จในปี พ.ศ. 2487 โดยใช้ชื่อว่า MARK I โดยการทำงานภายในตัวเครื่องจะถูกควบคุมอย่างอัตโนมัติด้วย electromagnetic relays และ arthmetic counters ซึ่งเป็น mechanical ดังนั้น MARK I จึงนับเป็น electromechanical computers



Howard Aiken




MARK I


- และต่อมา Dr. John Vincent Atanasoff และ Clifford Berry ได้ประดิษฐเครื่อง ABC (Atanasoff-Berry Computer) โดยใช้ หลอดสูญญากาศ (vacuum tubes)



เครื่อง ABC (Atanasoff-Berry Computer)


- ปี พ.ศ. 2483 Dr.John W. Mauchy และ J. Presper Eckert Jr. ได้ร่วมกันพัฒนา electronic computer โดยอาศัยหลักการออกแบบบนพื้นฐานของ Dr. Atanasoff electronic computer เครื่องแรกมีชื่อว่าENIAC แม้จะเป็นelectronic computer แต่ENIACก็ยังไม่สามารถเก็บโปรแกรมได้(stored program) จึงได้มีการพัฒนาเป็นเครื่อง EDVAC ซึ่งอาศัยหลักการ stored program สมบูรณ์และได้มีการพัฒนาเป็นเครื่อง EDSAC และท้ายสุดก็ได้พัฒนาเป็นเครื่อง UNIVAC(Universal Automatic Computer) ในเวลา
ENIAC
EDVAC
EDSAC
UNIVAC
ในท้ายที่สุด หากจะจำแนกประวัติคอมพิวเตอร์ตามยุคของคอมพิวเตอร์(Computer generations) โดยแบ่งตามเทคโนโลยีของตัวเครื่องและเทคโนโลยีการเก็บข้อมูล ก็สามารถจะจัดแบ่งตามวิวัฒนาการได้ 4 ยุคด้วยกัน คือ

ยุคแรกเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีของหลอดสูญญากาศ และการเก็บข้อมูลเป็นแบบบัตรเจาะรู

ยุคที่สอง เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีของทรานซิสเตอร์ และการเก็บข้อมูลเป็นแบบเทป ลักษณะเป็นกรรมวิธีตามลำดับ(Sequential Processing)

ยุคที่สาม เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีของไอซี(integrated circuit, IC) และการเก็บข้อมูลเป็นแบบจานแม่เหล็ก ลักษณะเป็นการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน (Multiprogramming) และออนไลน์(on-line)

ยุคที่สี่ เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีของวงจรรวมขนาดใหญ่ (Large-scale integration, LSI) ของวรจรไฟฟ้า ผลงานจากเทคโนโลยีนี้คือ ไมโครโปรเซสเซอร์ (microprocessor ) กล่าวได้ว่าเป็น "Computer on a chip" ในยุคนี้

จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการจากอดีตถึงปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาต่อๆ กันมาอย่างรวดเร็วทำให้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาจกล่าวได้อีกว่าโลกของวิทยาการคอมพิวเตอร์นั้นมี การเคลื่อนไหวเสมอ(dynamics) แต่การรพัฒนาดังกล่าวกลับไม่ค่อยยืดหยุ่น(rigid)มากนัก เพราะหากเกิดความผิดพลาด ในกลไกเพียงเล็กน้อย บางครั้งก็อาจเป็นบ่อเกิดปัญหาที่ใหญ่โตมหาศาลได้ นอกจากนี้การพัฒนาคอมพิวเตอร์ยังนับได้ว่าเป็นโลกที่ควบคุมไม่ได้ หรือสามารถจัดการได้น้อย กล่าวคือ ทันทีที่คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยโปรแกรม เครื่องก็ปฏิบัติงานไปตามโปรแกรมด้วยตนเอง และขณะที่เครื่องทำงานอยู่นั้นมนุษย์จะไม่สามารถควบคุมได้